วันเดย์ทริปลังกาวี ก็สามารถเที่ยวได้ครับ หลายๆ โปรแกรมทัวร์ เช่น เที่ยวสุสานพระนางมัสสุหรี+พิพิธภัณฑ์ ดร.มหาธี + ช้อปตลาดกัวฮ์ ก็สามารถมาเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้ครับ |
||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||
TEAW SANOOK TV ยากดูสดสด คลิกตรงนี้ครับ |
||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||
แผนที่เมืองกัวฮ์ ลังกาวี ท่านลองดูแผนที่ท่องเที่ยว เกาะลังกาวี ทัวร์ลังกาวี 2 วัน 1 คืน ก็น่าจะเพียงพอสำหรับคณะที่ไปเที่ยวครั้งแรก เพราะจะเป็นการประหยัดเงินในกระเป๋าด้วย และอีกอย่าง ทัวร์ลังกาวี 3 วัน 2 คืน โปรแกรมทัวร์ก็ไม่ได้แตกต่างจากทัวร์ลังกาวี 2 วัน 1 คืน มากนัก |
||||||||||||||||||||||||||||
มาเที่ยวเกาะลังกาวี แล้ว สิงที่ผมมองว่าท่านต้องสัมผัสให้ได้ เพื่อการท่องเที่ยวเกาะลังกาวีที่สมบรูณ์แบบ กิจกรรมต่างๆ เช่น การเดินป่า ดูนก พายเรือคายัก การขี่ม้า ตีกอล์ฟ สวนผลไม้ และอื่นๆ เช่น |
||||||||||||||||||||||||||||
ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับลังกาวี สภาพากาศ : เกาะลังกาวีอุณภูมิอยู่ระหว่าง 24-33 องศาเซลเซียส อากาศร้อนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนมีนาคม ปีถัดไป การเช่ารถในลังกาวี: โดยปกติค่าเช่ารถในเกาะลังกาวีราคาประมาณ 80 ริงกิตมาเลเซีย หรือ ประมาณ 800 บาทไทยต่อวัน (การขับรถในมาเลเซียขับทางซ้ายเหมือนเมืองไทย) ผู้ที่ขับรถจะต้องมีใบอนุญาตขับขี่สากลด้วยครับ วันหยุดราชการ: ราชการหยุดวันศุกร์และวันเสาร์ เนื่องจากมุสลิมผู้ชายจะต้องไปทำพิธีละหมาดวันศุกร์ ระบบโทรศัพท์: ท่านสามารถใช้โทรศัพท์สาธารณะได้โดยการยอดเหรียน หรือจะซื้อซิมโทรศัพท์ของมาเลเซียใส่ราคาประมาณ 200 บาท ใช้กับโทรศัพท์ไทยได้เลยครับ การบริการรักษาพยาบาลในเกาะลังกาวี: โรงพยาบาลในเกาะลังกาวี เปิดบริการ 24 ชั่วโมง ที่ตั้งของโรงพยาบาลอยู่ห่างจาก เมืองกัวฮ์ ขับรถเพียงประมาณ 10 นาที ส่วนคลีนิคมีอยู่หลายแห่งในเมืองกัวฮ์ |
||||||||||||||||||||||||||||
ตำนาน พระนางมัสสุหรี แห่ง เกาะลังกาวี มีคู่สามีภรรยา จากรัฐสยามถูกเล่าขานถึงแหล่งที่อุดมสมบรูณ์ที่สุดสำหรับแหล่งทำมาหากิน ที่แห่งนั้นจะต้องประกอบด้วยฟูง นกอินทรีย์ ที่บินว่อนๆไปทั่วทั้งพื้นที่ และแล้วชาวประมงพื้นบ้านครอบครับนี้ก็ค้นพบ แหล่งทำมาหากินที่มีแหล่งทรัพยากรทางทะเลที่สมบรูณ์มากๆ นั้นก็คือ เกาะลังกาวี แต่ยังงัยก็แล้วแต่ สองสามี ภรรยาที่มีฐานะค่อนข้างอยากจน ก็ได้เก็บหอมรอมริด จนเวลาผ่านไปก็ได้มีสิงที่เป็นศิริมงคลแก่ครอบครัว นั้นก็คือ ผ่านภรรยาที่ชื่อ เจ๊ะอาลังได้ตั้งท้องลูกน้อยจนถึงเวลา 8 เดือนครอบครัวของเขาได้มีฐานะดีขึ้นอย่างน่าตกใจ จนทำเวลาล่วงเลยมาถึงกำหนดครอด ภรรยาก็ได้ครอดลูกออกมาเป็นเด็กผู้หญิง ให้ชื่อเรียกว่า เจ๊ะซิตี้ อีกชื่อหนึ่งก็คือ มะสุหรี หลังจากเวลาผ่านไปเด็กหญิงสาวที่มีเชื่อสาย สยาม ก็เติมโตในชุมชนมุสลิมที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบคนสยาม เด็กหญิงมะสุหรี จึงมีมรยาทอันดีงามเป็นที่รักใคร่ของคนในชุมชน จนนางมัสสุหรีโตเป็นสาว มีรูปลักษณ์สวยงาม และเพียบพร้อมด้วยกิริยา มารยาท ทำให้เป็นที่กล่าวขวัญในหมู่ของชายหนุ่ม ที่หมายปองอยากจะได้มาเป็นคู่ครอง จนเรื่องราวความงามของ นางมัสสุหรี ไปเข้าหูของเจ้าชายเกาะลังกาวี ซึ่งเจ้าชายของเกาะลังกาวีในสมัยนั้นคือ เปอร์เกิสเมอร์จาย่า ได้ยินแต่เสียงเยินยอ นางมัสสุหรี ก็เลยอยากเห็น จึงมีคำสังให้จัดงานเฉลิมฉลองขึ้นในเกาะลังกาวี ประกาศให้คนทั่วทั้งเกาะลังกาวีมาร่วมในงานครั้งนี้ เมื่อถึงวันงาน นางฟ้ามะสุหรีตามชาญาที่ชาวเกาะลังกาวีให้กับพระนางในสมัยนั้น ก็ได้เข้ามาในงาน ผู้คนต่างเชื่อนชมในความงามของนาง รวมทั้งเจ้าชายเปอร์เกิสเมอร์จาย่า ด้วย แต่อนิจา ฝ่ายเจ้าชายนั้นมีภรรยาอยู่แล้ว ชื่อ วรรณมโหรา แต่ถึงไม่มีภรรยาก็ตามแต่ด้วยกฎของเจ้าผู้ครองเมือง เกาะลังกาวีนั้น ห้ามมิให้เจ้าผู้ครองเมืองแต่งงานกับใครก็ตามที่มีเชื่อสายต่างชาติ ความหวังของเจ้าชายเปอร์เกิสเมอร์จาย่า ก็เลยถูกปิดบังด้วยเงื่อนไข่ต่างๆนานา แต่ด้วยความงามของ เจ้าหญิงมะสุหรีนั้นทำให้เจ้าเมืองยังยากที่จะให้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ก็เลย จัดการเจรจากับน้องชาย ซึ่งมีตำแหน่งเป็นแม่ทับของกองทับเจ้าเมืองลังกาวี ชื่อ เจ้าชายวันดารุส เลยเชิญเจ้าชายวันดารุส มาดูตัวพระางมัสสุหรี เจ้าชายวันดารุส เมื่อได้เห็นพระนางมัสสุหรี ในแวบแรกก็เกิดความชอบ และครั่งไคร่เป็นอย่างมาก เจ้าชายเปอร์เกิสเมอร์จาย่า ก็เลยทำการสูขอ นางมัสสุหรีในสมัยนั้นให้กับแม่ทับ คือ เจ้าชายวันดารุส อย่างรีบด่วน เมื่อทั้งสองท่านนี้แต่งงานกัน เจ้าหญิงมะสุหรี ก็เลยต้องแยกออกจากครอบครัวที่เคยอยู่กับคุณพ่อ คุณแม่ มาอยู่บ้านของตัวเอง ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะลังกาวี ครอบครัวของเจ้าหญิงมะสุหรีอยู่กับแม่ทับมาระยะหนึ่งอย่างมีความสุข จนถึงวันหนึ่ง เจ้าหญิงมัสสุหรีได้ตั้งท้อง และอุ้มท้องมาจนครบกำหนดครอด เจ้าหญิงมะสุหรีได้ให้กำหนดลูกน้องเป็นเพศชาย ให้ชื่อว่า วันฮาเก็ม แต่ในขณะที่เจ้าหญิงมะสุหรีพึงครอดบุตร และยังเล็กอยู่มากนั้นก็เกิดศึกสงครามขึ้นในเกาะลังกาวี ที่ถูกรุกรานจากอาณาจักรสยามในสมัยนั้น เจ้าชายวันดารุส ในฐานะที่เป็นแม่ทับก็ต้องจำใจ ออกไปนำทับเพื่อป้องกันบ้างเมือง ทั้งที่ใจนั้นต้องการจะอยู่กับครอบครัว และให้การเลี้ยงดูลูกอย่างดีที่สุด ส่วนฝั่งพระนางมัสสุหรี ก็ต้องทำใจเนื่องจากเป็นภรรยาของแม่ทับ เมื่อถึงเวลา แม่ทับก็ต้องรบเพื่อป้องกันบ้านเมืองจากผู้รุกรานและได้ทำใจไว้แล้วก่อนที่จะมีการแต่งงานกัน ก็เลยยินดีที่จะให้เจ้าชายวันดารุส ไปออกรบ ในระหว่างที่เจ้าชายวันดารุส ไปรบ เพือป้องกันหัวเมืองฝั่งไทรบุรี ในขณะเดียวกันที่เกาะลังกาวีก็เข้าสู่ช่วงของเดือนมรสุม และมีเรือสินค้าจาก เกาะปีนัง บรรทุกสินค้าเต็มลำ พร้อมที่จะเดินทางไปยังภูเก็ต ซึ่งการเดินทางจากเกาะปีนัง ไปยัง เกาะภูเก็ตนั้น เส้นทางต้องผ่านทางเกาะลังกาวี และในเวลานั้นเองเรือสินค้าของชายชาวสุมาตราลำดังกล่าวก็ถูกคลื่อนซัด ล้มบริเว็นใกล้กับเกาะลังกาวี ชายชาวสุมาตราผู้นีก็เลยลอยตัวไปติดอยู่ ณ เกาะลังกาวี เขาไม่เสียชีวิต แล้วด้วยความที่หิวโฮย เขาเลยเดินเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนในชุมชน ซึ่งบังเอินบ้านที่เขาเข้าไปนั้นเป็นบ้านของ พระนางมัสสุหรี ซึ่งขณะนั้นเขาอยกู่กันแค่ 2 คน กับลูกน้อยเท่านั้น การเข้าไปขอความช่วยเหลือของชายชาวสุมาตรานั้นไม่ได้มีวัถุประสงค์อื่นเลย เช่นเดียวกันกับฝั่งเจ้าหญิงมะสุหรีก็ยินดีช่วยเหลือคนที่กำลังตกทุกข์ได้อยากในขณะนั้นเท่านั้นเอง ก็เลยให้ชายผู้นี้มาพักที่บ้าน ให้น้ำ ให้อาหาร และที่พัก จนกระทั้งชายผู้นี้มีชีวิตรอดกลับไปยัง ประเทศอินโดนีเชีย และทุกๆครั้งที่เขาวิ่งเรือสินค้าผ่านมายังเกาะแห่งนี้ ครั้งหนึ่งเขาเกือบตาย ณ ที่เกาะลังกาวีแห่งนี้ แต่ด้วยมีผู้หญิงคนหนึ่งได้ช่วยเขาไว้ บุญคุณครั้งนี้ไม่อาจลืมเลือนได้ เขาก็จะมีของติดไม้ติดมือมาฝาก พระนางมัสสุหรี และลูกของนางทุกๆ ครั้งไป เป็นอยู่อย่างนี้บ่อยๆ แต่และแล้วเรื่องราวเหล่านั้นถูก นางวันมาโหรา ภรรยาคนที่ 1 ของเจ้าชายแห่งเกาะลังกาวีแล้วไม่หนัมซ่ำก็เลยได้ชักชวนนางสนมคนอื่นๆ ให้ร้ายแก่พระนางมัสสุหรี ด้วยเหตุแห่งความอิจฉาริษยา ที่ใคร่ก็ต่างหลงไหล และชมเชิญ เจ้าหญิงมะสุหรีว่าเป็น ดังนางฟ้าของเกาะลังกาวี พี่สใภ้อย่างวันมโหรา เหมือนมีบาดแผลอยู่กลางด้วยใจ เมื่อได้โอกาสก็เลย อุปโลกเรื่องราวทั้งหมดไปฑูนฟ้องเจ้าเมืองว่า พระนางมัสสุหรีนี้เป็นชูกับชายชาวอิเหน่าผู้นั้น เจ้าเมืองเมื่อได้ฟังคำกราบทูนอย่างนี้ก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เพราะตามกฎของศาสนาอิสลาม ต้องไม่มีการคบชูซูชาย จึงตัดสินทันทีโดยไม่มีการสอบหาความจริง ว่าพระนางมัสสุหรีมีความผิดจริง ข้อกำหนดโทษในสมัยนั้นก็คือ การประหารชีวิต สำหรับวันที่เขาประหารชีวิตพระนางมัสสุหรีนั้น เวลาเช้าตรูเพชคาตได้รับคำสั่งจากเจ้าเมืองให้มุ่งหน้าไปยังบ้านของพระนางมัสุหรี ในเวลาเดียวกันยามเช้า พระนางมัสุหรีได้อุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมกอดด้วยความอบอุ่น เพื่อที่จะป้อนนมจากอกของแม่ในตอนเช้าของวัน แต่ขณะนั้นลูกน้องยังไม่ทันได้ดื่มนมเพียงสักหยดเดียว เพชคาตก็ได้กระชากตัวของเจ้าหญิงมะสุหรีออกจากลูกน้อยที่กำลังอุ้มอยู่ในอ้อมกอด แล้วลากตัวของพระนางมัสุหรีลงมาจากบ้านสู่เส้นทางที่จะไปยังลานประหาร เป็นระยะทางกว่า 700 เมตร ใครเห็นใครต่อว่า ใครเห็นก็ใช้ก้อนหินบ้าง ไม้บ้างโยนใส่ร่างกายของพระนางมัสสุหรี พร้อมทั้งคำสาปแช่งต่างๆ นานา หาว่าเจ้าหญิงมัสสุหรีเป็นกาลีบ้านกาลีเมือง การทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการประจานเพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่าง พระนางมัสสุหรีร้องเสียดังลั่น ว่าฉันคือคนบริสุทธิ พวกท่านเข้าใจผิด แต่ก็ทนกำลังของเพชคาตไม่ไหว เพชคาตลากตัวของพระนางมัสสุหรีมาผูกไว้กับต้นมะขามป้อม ซึ่งเป็นลานประหารของพระนางมัสสุหรี หรือ ที่คนมาเลเซียเรียกว่า ปาดังมัสสิรัต ในเมื่อพระนางมัสสุหรี พยายามที่จะอธิบายถึงความบริสุทธิของตัวเองแต่ได้รับการปติเศษ ด้วยความที่เป็นหวังลูก เสียงกรีดร้องของลูกที่กำลังหิวนมมารดานั้นดังก้องอยู่ในหูของพระนางมัสสุหรีตลอดเส้นทางที่ เพชคาตได้ลากตัวของพระนางมัสสุหรีมา ฉะนั้นพระนางมัสสุหรีจึงของโอกาสสักครั้งเถอะ ให้ลูกของข้าพระเจ้าได้ดื่มนมจากตัวของฉันสักครั้งเถอะก่อนที่ฉันจะตาย แต่การร้องขอของพระนางมัสสุหรีนั้นไม่ได้รับการตอบสนองจากเหล่าเพชคาตที่ได้รับคำสั่งมาจากเจ้าเมือง เพชคาตก็ทำการลงมือทิ่มแทง ตรงท้องของพระนางมัสสุหรีแต่ อนิจาผิวหนังของพระนางมัสสุหรีไม่ได้รับการระคายเคีองแม้แต่น้อย เพชคาตก็ลงมือแทงอีกหลายครั้ง ผิวหนังของพระนางก็ยังไม่มีบาดแผลแต่อย่างใด ด้วยแรงที่อ่อนล้า พระนางจึดเอ่ยคำว่า หากต้องการจะฆ่าของของข้าพระเจ้านั้น ให้เป็นเพียง กฤษประจำวงค์ตระกูลก็เพียงพอแล้ว เพชคาตได้ยินดังนั้นจึ่งสั่งให้คนไปนำ กฤษประจำตระกูลของพระนางมัสสุหรี เมื่อมาถึงก่อนที่เพชคาตจะลงมือแทงพระนางมัสสุหรีด้วยกฤษ ประจำตระกูลนั้น พระนางได้เอยปากว่า หากตัวข้าพระเจ้าไม่ได้ทำผิดดั่งคำเขาว่า ขอให้เลือดของตัวข้าพระเจ้านั้นได้หลั่งออกมาเป็นสีขาว และยังสาปแช่งเกาะลังกาวี ไม่ให้มีความสุข มีแต่ความแห้งแลง และความยากลำบากถึง 7 ชั่วอายุคน หลั่งคำสั่งเสัยของพระนางมัสสุหรีเพชคาตก็ได้แทงพระนางมัสสุหรีเข้าทรวงอก ทันใดนั้นเลือดของพระนางมัสสุหรีก็ไหลออกมาเป็นสีขาว ทำให้เป็นที่ประลาดใจให้คำชาวบ้าน และเพชคาตเป็นอย่างมาก แต่กระนั้นคำตัดสิ้นก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไข้ได้แล้ว ร่างของพระนางมัสสุหรีครอบครัวก็นำมาฝั่งไว้ ณ หน้าบ้านตรงสุสานพระนางมัสสุหรีปัจจุบัน โดยมีต้นนุ่นเป็นสัญญาลักษณ์มาอย่างยาวนาน และหลักจากนั้น เกาะลังกาวีก็เป็นดังคำสั่งเสีย หรือ คำสาปของพระนางมัสสุหรี เกาะลังกาวีถูกรุ่งรานจากอณาจักสยาม ความแห้งแล้งถาโถมเข้ามายังเกาะแห่งนี้ ฤดูฝนกระแสลม กระแสคลื่นแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ผู้คนอดยาก แรนแค้นยิ่งนัก หากท่านต้องการฟังต่อเดี่ยวผมจะมาเล่าให้ฟังอีกครั้งภายหลังครับ |
||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||
บริการนำเที่ยวโดยเที่ยวสนุกทัวร์แอนด์แทรเวล ใบอณุญาตธุรกิจนำเที่ยวเลขที่ 41-00335 สำนักงานเลขที่ 10/114 ซ.กันตัง 20 ถ.จริงจิตร ต.ทับเที่ยง อ.เมือง จ.ตรัง 92000 โทร. 075 502 938 สายด่วน 085 384 0228 (คุณนัท) 081 415 5955 (คุณใหม่) |
||||||||||||||||||||||||||||
วันเดย์ทริปลังกาวี |